พระราชวังโบราณ
ส่วนบริเวณปราสาทราชมณเฑียรนั้นปัจจุบันเหลือไว้เพียงซากปรักหักพัง เราเดินเข้าไปสำรวจยังบริเวณต่างๆ อิฐปูนทรุดโทรมเสื่อมสลายเหลือทิ้งไว้เพียงโครงสร้างหลักๆ พระราชวังแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นศูนย์กลางราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร หากนึกภาพในสมัยนั้นไม่ออกให้นึกถึงพระบรมมหาราชวังแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงดำริให้สร้างปราสาทราชมณเฑียรต่างๆคล้ายคลึงพระราชวังโบราณของกรุงศรีอยุธยา หรือถ้ายังจินตนาการไม่ออกต้องลองไปเมืองโบราณ ที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งมีพระที่นั่งสรรเพชญมหาปราสาทจำลองไว้โดยสร้างอิงจากหลักฐานต่างๆที่กล่าวถึงพระที่นั่งนี้
ภายในบริเวณซากปราสาทพระราชวังมีป้ายให้ความรู้บอกไว้ทุกระยะว่าที่ตรงหน้าเคยมีสถานะเป็นอย่างไร ยิ่งใหญ่เพียงใด เรานั่งชมพระราชวังโบราณกันอยู่จนเย็นย่ำ นั่งหลับตาและจินตนาการกันว่าถ้าหากวันนี้พระราชวังยังเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ถ้าหากวังแห่งนี้ไม่ถูกทำลายไป ภาพตรงหน้าคงสวยงามจับใจ แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องลอดเงาไม้ตกกระทบยอดปราสาทคงน่าตราตรึงมากกว่าเงียบเหงาเช่นนี้ พลันนั้นบทกลอนบางบทใน ‘นิราศพระบาท’ ของสุนทรภู่ที่จำขึ้นใจมาตั้งแต่เด็กก็ผุดขึ้นมาในใจ
“น่าใจหายเห็นศรีอยุธยา ทั้งวังหลวงวังหลังก็รั้งรก เห็นนกหกซ้อแซ้บนพฤกษา ดูปราสาทราชวังเป็นรังกา ดังป่าช้าพงชัฏสงัดคน อนิจจาธานินสิ้นกษัตริย์ เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์ แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง มโหรีปี่กลองจะก้องกึก จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ ดูพาราน่าคิดอนิจจัง ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา”