ฟาร์มเอกเขนก
บางครั้งคนเราก็อาจได้พบจุดเปลี่ยนซึ่งนำไปสู่หนทางสายใหม่ๆ ของชีวิต ดังเช่น วัชรี งามจิตอนันต์ หรือไก่อู ที่มีพื้นเพเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดในครอบครัวที่ทำธุรกิจนำเข้า-ส่งออกอะไหล่รถบรรทุก
วันหนึ่งเธอมีโอกาสไปฝึกปฏิบัติธรรมที่วัดสวนโมกข์ จ. สุราษฎร์ธานี ได้เรียนรู้คุณค่าของความสันโดษ ก่อให้เกิดความสนใจเรื่องการทำเกษตรแบบพึ่งตนเองตามมา จึงไปเข้าคอร์สเรียนรู้ที่มูลนิธิขวัญข้าว และที่สวนของ โจน จันได กระทั่งตัดสินใจย้ายมาอยู่อาศัยที่ จ. สระบุรี
เธอซื้อที่ดินผืนแรกสำหรับทำนาข้าวอินทรีย์ แล้วค่อยซื้อที่ดินขนาด 3 ไร่อีกผืนสำหรับทำ “ฟาร์มเอกเขนก”
ความที่เริ่มต้นจากการทำนา ผลผลิตของฟาร์มจึงประกอบด้วยข้าวกล้องอินทรีย์ที่ปลูกเองเป็นหลัก ทั้งข้าวหอมปทุมและข้าวไรซ์เบอร์รี
ทั้งยังมี “ข้าวทูโทน” หรือข้าวสองสี ที่นำข้าวไรซ์เบอร์รีมาบรรจุห่อรวมกับข้าวหอมมะลิสุรินทร์ และที่พิเศษคือ “ข้าวโจ๊ก” ซึ่งทำจากข้าวกล้องหอมปทุม สามารถหุงด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าหรือใส่ในน้ำเดือดแล้วกวนเพียง 2 นาทีก็กินได้เลย
แนวคิดของฟาร์มเอกเขนกเป็นอย่างที่เธอบอก คือ “ปลูกในสิ่งที่เรากิน ทำในสิ่งที่เราใช้ เมื่อเหลือเราค่อยแบ่งขาย เพราะพื้นฐานของที่นี่คือการพึ่งตนเอง”
ตัวอย่างเช่นในฟาร์มปลูกกล้วยพื้นเมืองไว้ราว 20 สายพันธุ์ เช่น กล้วยร้อยหวี กล้วยงาช้าง กล้วยพระตะบอง กล้วยนาก กล้วยน้ำว้าดำ ฯลฯ เมื่อผลผลิตเหลือจากการบริโภคในครอบครัวก็นำมาทำ “กล้วยดองน้ำผึ้ง” ที่ทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพไว้จำหน่าย
ส่วนเก๊กฮวยที่ปลูกในแปลง ก็เก็บดอกไว้ชงชาดื่ม ที่เหลือจึงนำมาทำเครื่องดื่มโดยผสมกับหล่อฮั่งก้วย เป็น “น้ำเก๊กหล่อ” บรรจุขวดขาย ไม่ใส่น้ำตาลและสารกันเสีย ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น
ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ยังมีปุ๋ยมูลไส้เดือน ที่นี่มีโรงเรือนเลี้ยงไส้เดือนพันธุ์แอฟริกันเพื่อเก็บมูลซึ่งเป็นปุ๋ยชั้นดีไว้ใส่บำรุงพืชผักต้นไม้ภายในฟาร์ม และแบ่งขายแก่ผู้สนใจโดยบรรจุถุงขนาด 1 กก.
อีกผลิตภัณฑ์คือถ่าน activated charcoal ทางฟาร์มรับซื้อไม้ไผ่แก่จากชุมชนนำมาเข้าเตาเผา โดยคัดไม้ เรียงไม้ ไล่ไฟหน้าเตา และสังเกตควันไฟอย่างใส่ใจ เมื่อได้ถ่านมาแล้วก็ต้องเช็กว่ามีประจุลบ ซึ่งจะช่วยดูดซับสารพิษในทางเดินอาหาร ช่วยบำรุงผิวพรรณ เพื่อใช้เป็นส่วนผสมทำแชมพู สบู่ ใส่ในเครื่องกรองน้ำ หรือใช้เป็นยาสำหรับอาการท้องเสีย
สนใจผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมต่างๆ ของฟาร์มเอกเขนก เข้าไปติดตามได้ทางเฟซบุ๊ก