มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
คืนวันที่ 25 ตุลาคม 2505 พายุโซนร้อนแฮเรียตซัดเข้าถล่มชายฝั่งอ่าวไทยทางภาคใต้ สร้างความเสียหายครอบคลุมถึง 12 จังหวัด มีผู้เสียชีวิตกว่า 600 คนจากคลื่นทะเลยักษ์ที่กวาดซัดใส่ทุกสิ่ง และผู้ไร้ที่อยู่อาศัยไม่ต่ำกว่า 16,000 คน นับเป็นมหาวาตภัยครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศ โดยเฉพาะที่แหลมตะลุมพุก อ. ปากพนัง จ. นครศรีธรรมราช ได้รับความเสียหายหนักที่สุด
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงทราบข่าวและห่วงใยในภัยร้ายแรงครั้งนี้ จึงพระราชทานความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ทรงขอเครื่องบินของกองทัพอากาศ และเรือเปิดหัวของกองทัพเรือ บรรทุกสิ่งของไปช่วยเหลือทันที พระองค์ทรงประกาศผ่านทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิต เชิญชวนประชาชนบริจาคเงินและสิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบภัย และยังทรงดนตรีตามคำขอเพื่อรับบริจาคด้วย ปรากฏว่าภายในเวลาเพียงเดือนเดียวมีผู้บริจาคเงินถึงกว่า 11 ล้านบาท และสิ่งของเครื่องใช้อาหารแห้งมูลค่าประมาณ 5 ล้านบาท
เงินบริจาคนี้พระองค์พระราชทานให้กระทรวงศึกษาธิการนำไปสร้างโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ขึ้น 12 แห่ง และยังมีเงินบริจาคเหลืออยู่อีก 3 ล้านบาท จึงพระราชทานเป็นทุนเริ่มต้นของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในปี 2506 และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์
มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ดำเนินงานเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยทั่วประเทศ รวมทั้งเด็กที่กำพร้าจากการสูญเสียครอบครัว ทั้งในด้านการดำรงชีวิตและการศึกษา ดังเช่นกรณีอุทกภัยจังหวัดภาคใต้ในปลายเดือนธันวาคม ปี 2509 พายุเกย์ในปี 2532 และเหตุการณ์สึนามิเมื่อปี 2547 มูลนิธิฯ ได้นำเงินและสิ่งของเครื่องใช้พระราชทานแจกจ่ายแก่ราษฎรอย่างรวดเร็ว และทุนการศึกษาสงเคราะห์พระราชทานแก่เด็กกำพร้าให้ได้รับการศึกษาจนจบขั้นสูงสุดเท่าที่จะเล่าเรียนได้ รวมทั้งการซ่อมแซมบ้านเรือนและจัดสร้างโรงเรียนขึ้นใหม่ในจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์สึนามิ พระองค์พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวน 30 ล้านบาทผ่านทางมูลนิธิฯ
พระองค์มีพระราชดำรัสว่า
“...การช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้น จะต้องช่วยในระยะสั้น หมายความว่าเป็นเวลาที่ฉุกเฉินต้องช่วยโดยเร็ว และต่อไปก็จะต้องช่วยให้ต่อเนื่อง...ส่วนเรื่องการช่วยเหลือในระยะยาวก็มีความจำเป็นเหมือนกัน...เป็นผลว่าเขาได้รับการดูแลเหลียวแลจนกระทั่งได้รับการศึกษาที่สามารถทำมาหากินได้โดยสุจริต และมีประสิทธิภาพเป็นพลเมืองดีของประเทศชาติ...”